คุณรู้ไหมว่าสถาปนิกแต่ละคนนั้นมีขอบเขตการทำงานที่ต่างกัน และไม่ใช่สถาปนิกทุกคนที่สามารถอนุมัติโครงการใหญ่ๆของรัฐบาลได้ ปัจจุบันนี้คนที่มีอำนาจในการอนุมัติโครงการต่างๆของรัฐบาลได้มีอยู่เพียง 8 คนเท่านั้น ซึ่งเป็นคนที่ได้รับใบอนุญาตถูกต้อง แต่ก่อนจะเข้าเรื่องลึกกันไปกว่านี้ ต้องบอกก่อนว่ามีการแบ่งขอบเขตของสถาปนิกออกเป็น 4 ระดับ ซึ่งประกอบไปด้วยดังนี้
สาขาสถาปัตยกรรมหลัก ผู้ที่มีใบอนุญาตชนิดนี้สามารถที่จะสร้างบ้านพักที่มีขนาดตั้งแต่ 150 ตารางเมตร และสามารถสร้างอาคารเพื่อการเกษตรอย่างเช่น โรงนา หรือยุ้งฉาง โดยมีขนาดตั้งแต่ 400 ตารางเมตรขึ้นไป ถ้าพื้นที่ไม่เกิน 150 และ 400 ตารางเมตรไม่จำเป็นต้องใช้ใบอนุญาต
สาขาสถาปัตยกรรมผังเมือง เป็นโครงการใหญ่ของภาครัฐและเอกชน เช่นการว่างผังเมือง การสร้างอาคารขนาดใหญ่ สร้างตึกสำนักงาน โดยมีพื้นที่ตั้งแต่ 30,000 ตารางเมตรขึ้นไป ปัจจุบันนี้มีผู้ที่มีใบอนุญาติสาขาสถาปัตยกรรมผังเมืองเพียง 8 คน เท่านั้นในประเทศไทย
สาขาภูมิสถาปัตยกรรม งานสร้างพื้นที่และอาคารสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นศาลากลาง อาคารอเนกประสงค์ สวนสาธารณะ อ่างเก็บน้ำ เขื่อน ทางหลวง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ “สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์” ถ้าเป็นพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 1,000 ตารางเมตรขึ้นไป รองรับคนได้ 500 คนขึ้นไป ปัจจุบันนี้มีสถาปนิกที่มีใบอนุญาติภูมิสถาปัตยกรรมอยู่ทั้งหมด 80 คน
สาขาสถาปัตยกรรมภายใน คือสาขาที่แยกออกมาจากสถาปัตยกรรมหลัก เป็นการจัดสรรพื้นที่ภายในอาคารสาธารณะที่มีขนาดกว้างตั้งแต่ 500 ตารางเมตรขึ้นไป รวมถึงการตกแต่งให้สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นพื้น ผนัง เพดาน ถือเป็นงานตกแต่งที่อยู่ในสาขาสถาปัตยกรรมภายใน
ดั่งที่เห็นว่ามีการแยกขอบเขตตามสาขาที่ประกอบไปด้วยสาขาทั้ง 4 ชนิดอย่างชัดเจน ดังนั้นสถาปนิกแต่ละคนจึงทำหน้าที่ในขอบเขตที่ต่างกัน แต่มีบางกรณีที่ยกเว้นสำหรับโครงการร่วมระหว่างเอกชนและรัฐบาล ที่เจ้าหน้าที่อาจพิจารณาอนุญาติให้ทำงานโดยไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาติชั่วคราว ซึ่งดูตามประสบการณ์ความชำนาญของตัวสถาปนิกเป็นหลัก ซึ่งเมื่อเสร็จงานก็จะกลับมาอยู่ในขอบเขตของ พ.ร.บ. สถาปนิก ปี 2543
ข้อยกเว้นแบบนี้ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่สถาปนิกด้วยกันเอง เพราะดูเหมือนรัฐพยายามที่จะผูกขาดอำนาจในการตัดสินใจในโครงการขนาดใหญ่ การที่สถาปนิกมีใบอนุญาติไม่เพียงพอทำให้ขั้นตอนในการก่อสร้างกินเวลานานหลายเดือน หรืออาจใช้เวลาเป็นปีกว่าจะผ่านขั้นตอนการตรวจสอบ ปัญหานี้ก็ยังคงเป็นปัญหาสำคัญมาจนถึงทุกวันนี้ซึ่งหลายคนไม่เห็นว่ามันจะแย่อะไร นั่นเพราะว่ามันไม่ได้เกิดผลกระทบกับคนทั่วไป แต่เป็นผลกระทบกับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่จะสร้างห้างสรรพสินค้า หรือ สำนักงานใหญ่ขึ้นมาซักแห่ง